เมื่อพูดถึงการดูแลรักษาหม้อแปลงไฟฟ้าแรงสูง ปะเก็นหม้อแปลงจัดเป็นชิ้นส่วนสำคัญที่ช่วยป้องกันการรั่วซึมน้ำมันหม้อแปลง ซึ่งมีผลต่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยของระบบไฟฟ้า เมื่อต้องบำรุงรักษาหม้อแปลงจึงไม่ควรนำปะเก็นเก่ากลับมาใช้ซ้ำ เพราะวัสดุมีความเสื่อมสภาพ ส่งผลให้เกิดรอยรั่วซึมและลดประสิทธิภาพของการผลิตไฟฟ้า การเปลี่ยนปะเก็นใหม่จึงเป็นการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ดังนั้น ทุกครั้งที่เปิดซ่อมหรือบำรุงรักษาหม้อแปลง ควรเปลี่ยนปะเก็นใหม่เสมอ
ปะเก็นหม้อแปลงคืออะไร และทำหน้าที่อย่างไร
ปะเก็น คือ วัสดุที่ใช้รองหรือปิดช่องว่างต่าง ๆ ของหม้อแปลงไฟฟ้า เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำมันหม้อแปลงรั่วไหลออกจากบริเวณฝาถังหม้อแปลง ช่องบรรจุน้ำมัน หรือหัวบุชชิ่ง นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันไม่ให้อากาศ ฝุ่นละออง และความชื้นจากภายนอกเข้าสู่ตัวหม้อแปลง ซึ่งเป็นสาเหตุที่อาจทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง
สำหรับหม้อแปลงไฟฟ้าในปัจจุบัน มักจะนิยมใช้ปะเก็นผสมไม้คอร์ก (Rubberised Cork Sheet) เนื่องจากมีคุณสมบัติเด่นหลายด้าน เช่น มีความยืดหยุ่นสูง สามารถซีลได้แน่นหนา ช่วยลดโอกาสการรั่วซึมของน้ำมันหม้อแปลง โดยปะเก็นชนิดนี้จะถูกนำมาใช้งานเฉพาะจุดที่ต้องการความแน่นหนาเป็นพิเศษ อย่างบริเวณฝาหม้อแปลง หรือจุดสัมผัสกับโลหะ เพื่อให้การซีลมีประสิทธิภาพสูงสุด และรองรับการใช้งานในระบบไฟฟ้าที่ต้องการความปลอดภัยสูง
ทำไมต้องเปลี่ยนปะเก็นหม้อแปลงใหม่
เมื่อหม้อแปลงไฟฟ้าถูกใช้งานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ปะเก็นของหม้อแปลงจะเสื่อมสภาพตามธรรมชาติ โดยทั่วไปแล้วปะเก็นจะมีอายุการใช้งานประมาณ 5-10 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งานและสภาพแวดล้อมที่หม้อแปลงตั้งอยู่ ปัจจัยหลักที่ทำให้ปะเก็นเสื่อมสภาพได้แก่ ความร้อน ความดัน และสารเคมีที่อยู่ในน้ำมันหม้อแปลง ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป จะทำให้ปะเก็นเกิดความเปื่อยยุ่ย และอาจเกิดรอยรั่วซึม
โดยรอยรั่วเหล่านี้เป็นช่องทางให้น้ำมันหม้อแปลงรั่วไหลออกมา หรือความชื้นจากภายนอกสามารถแทรกซึมเข้าไปในหม้อแปลงได้ ซึ่งล้วนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้หม้อแปลงเกิดความเสียหาย ส่งผลให้ประสิทธิภาพลดลง และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดไฟฟ้าลัดวงจรที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุและความเสียหายรุนแรง
ดังนั้น การเปลี่ยนปะเก็นของหม้อแปลงใหม่เมื่อครบอายุการใช้งาน หรือเมื่อตรวจพบความเสียหายจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อรักษาความปลอดภัยและประสิทธิภาพการทำงานของหม้อแปลงไฟฟ้าให้อยู่ในสภาพที่ดี พร้อมทั้งช่วยยืดอายุการใช้งานโดยรวมของหม้อแปลงให้นานยิ่งขึ้น
ทำไมไม่ควรนำปะเก็นหม้อแปลงเก่ากลับมาใช้ซ้ำ
แม้ว่าการนำวัสดุกลับมาใช้ซ้ำจะช่วยลดต้นทุนได้ แต่สำหรับปะเก็นนั้น การนำกลับมาใช้ซ้ำถือว่ามีความเสี่ยงสูงมากด้วยเหตุผลหลัก ๆ ดังนี้
1.ปะเก็นเสื่อมสภาพ ไม่แน่นหนาเหมือนเดิม
เมื่อปะเก็นถูกถอดออกมาแล้ว มักจะเสียรูปหรือยืดขยายไปตามการใช้งาน ทำให้เมื่อนำกลับมาใช้ซ้ำจะไม่สามารถซีลแน่นหนาเหมือนครั้งแรกได้ ส่งผลให้เกิดการรั่วซึมของน้ำมัน หรือความชื้นที่อาจทำให้หม้อแปลงเสียหาย
2.ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
ปะเก็นที่เสื่อมสภาพหรือมีรอยแตกไม่สามารถป้องกันการรั่วซึมของน้ำมันหม้อแปลงได้ดีหมือนเดิม ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาการลัดวงจร ความร้อนสะสมสูง หรือไฟฟ้าช็อต สร้างความเสียหายต่ออุปกรณ์และเสี่ยงต่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน
3.ผลกระทบต่อประสิทธิภาพหม้อแปลง
เมื่อเกิดการรั่วซึมของน้ำมัน ทำให้น้ำมันภายในหม้อแปลงลดลง ส่งผลให้หม้อแปลงมีอุณหภูมิสูงขึ้น ทำงานหนักขึ้น และอาจเสื่อมสภาพเร็วกว่าที่ควร ซึ่งหมายถึงอายุการใช้งานที่สั้นลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย
4.ปัญหาการบำรุงรักษาในระยะยาว
การใช้ปะเก็นของหม้อเก่าที่ไม่เหมาะสม เสื่อมสภาพ อาจทำให้ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมหรือบำรุงรักษาหม้อแปลงไฟฟ้าบ่อยครั้ง และยังเสี่ยงต่อการเกิดความเสียหายที่ใหญ่กว่าในอนาคต
สรุป
การเปลี่ยนปะเก็นหม้อแปลงไฟฟ้าใหม่หลังการบำรุงรักษาหรือพบว่าปะเก็นเกิดความเสียหาย เป็นสิ่งสำคัญและไม่ควรมองข้าม เพราะปะเก็นเก่าที่ถูกนำกลับมาใช้ซ้ำ มักมีความเสื่อมสภาพจากการใช้งาน เช่น การเปื่อยยุ่ยหรือเสียรูป ซึ่งจะทำให้ความสามารถในการซีลลดลง ส่งผลให้น้ำมันรั่วซึมหรือความชื้นแทรกซึมเข้าไปได้ง่าย เพิ่มความเสี่ยงต่อความเสียหายของหม้อแปลงและปัญหาด้านความปลอดภัยในระยะยาว
ดังนั้น การเลือกใช้ปะเก็นใหม่ที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน เช่น ปะเก็นตามมาตรฐาน IS-4253 PART II 1988 จาก อูมัง บอร์ดส์ บีเคเค จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าหม้อแปลงจะทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ป้องกันการรั่วซึม และยืดอายุการใช้งาน ลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาและค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงในอนาคต
📞 หากคุณกำลังมองหาวัสดุหม้อแปลงไฟฟ้าคุณภาพสูง ติดต่อเราได้ที่!
โทร: 02-630-3220, 085-562-4536
Email: @umangboardsbkk@yahoo.com
Line OA: @umangbkk
Facebook: Umang Boards BKK
มั่นใจในคุณภาพและบริการ เราพร้อมดูแลคุณทุกขั้นตอน